ปัญหาการออกหมายเรียกผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน
: ว่าด้วยอำนาจ, ความชอบธรรมและความเหมาะสม
ร.ต.อ.เทิดสยาม บุญยะเสนา
ปัญหาเกี่ยวกับงานสอบสวนนั้นอาจกล่าวได้ว่ามีมากมายมหาศาล เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยทั่วไปนั้นหากเลือกให้ปฏิบัติงานในสายงานอื่นก็อยากที่จะออกไปปฏิบัติสายงานอื่นมากกว่า เนื่องจากได้ทำงานเป็นเวลา, กฎหมายและระเบียบไม่ได้เคร่งครัดมากมายเหมือนการเป็นพนักงานสอบสวน และการทำงานสอบสวนมักจะถูกตำหนิตลอดเวลาว่าเป็น “หนังหน้าไฟ” และมักมีผู้แสดงความคิดเห็นตลอดเวลาว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ แต่แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาทำหน้าที่สอบสวนเอง ก็มีน้อยคนนักที่จะรักปฏิบัติหน้าที่สอบสวน เพราะมีข้อจำกัดทั้งทางด้านการบริหารและหน้าที่ตามกฎหมายให้ปฏิบัติเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้เขียนตั้งใจเขียนงานนี้ด้วยความเป็นกลางและหวังว่าผู้สนใจจะสนใจความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติงานโดยตรงบ้าง มิได้มุ่งตำหนิผู้ปฏิบัติงานสอบสวนเนื่องจากเข้าใจดีว่าการปฏิบัติงานสอบสวนท่ามกลางความขัดแย้งนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก และมิได้มีความคิดเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแม้ปัจจุบันความเป็นกลางจะถูกกลืนกินจนจุดยืนที่ต้องการความเป็นกลางนั้น ถูกตั้งข้อสงสัยและในบางกรณีถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ผู้เขียนต้องการหาทางออกในปัญหาที่เกิดขึ้น ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นสามารถหาทางออกได้ในกรณีใดบ้าง เพราะความขัดแย้งในทางกฎหมายแล้วย่อมสามารถหาทางออกได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “ความขัดแย้งคือความยุติธรรม” (Justice is conflict) แต่ทุกฝ่ายต้องเปิดใจและร่วมมือกันหาทางแก้ไขให้ปัญหาต่างๆ ลุล่วงไปด้วยดี ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนั้นปัญหาที่สำคัญที่สุดของการออกหมายเรียกผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน อาจถือได้ว่าเป็นปัญหาพื้นฐานสำคัญของการใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ดี ซึ่งจะต้องพยายามรักษาสมดุล (Balance) ระหว่าง อำนาจรัฐในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะต้องไม่โน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งมากนัก หากคำนึงถึงแต่ความคล่องตัวในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษมากเกินไป ประชาชนก็อาจได้รับความเดือดร้อน เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจอย่างกว้างขวางในการจับ การค้น การสอบสวน การควบคุมตัว ฯลฯ ในทำนองเดียวกัน หากมุ่งจะคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากเกินไป โดยเกรงว่าประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนรำคาญจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้กระทำความผิดก็อาจพ้นจากการถูกนำตัวมาลงโทษอันจะส่งผลเสียหายต่อสังคม (เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา, พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัดจิรรัชการพิมพ์, 2551), น.1-2.; Edward Eldefonso and Alan R. Coffey, Criminal Law: History, Philosophy, Enforcement (New York: Harper&Row, 1981), p.13.)
1.หมายเรียกผู้ต้องหาและปัญหาที่เกิดขึ้นในคดีหมิ่นประมาท
กฎหมายไม่ได้ให้คำนิยามคำว่า “หมายเรียก” ไว้ แต่พออนุมานจากบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องได้ว่า หมายถึง “หนังสือที่บงการซึ่งออกโดยพนักงานสอบสวน พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือศาลสั่งให้บุคคลที่ถูกระบุไว้ในหมายนั้นมายังผู้ออกหมายเรียกเพื่อการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้องหรือการพิจารณา หรือเพื่อการอันใดตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา” ผู้มีอำนาจออกหมายเรียกนั้นได้แก่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 52 กำหนดไว้ 3 ประเภท กล่าวคือ. – (1) พนักงานสอบสวน , (2) พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่, (3) ศาล ส่วนกิจการที่จะออกหมายเรียกมี 4 เรื่องดังนี้คือ. - (1) การสอบสวน, (2) การไต่สวนมูลฟ้อง, (3) การพิจารณา และ (4) กิจการอย่างอื่น เช่น กรณีศาลเรียกเจ้าพนักงานที่ถูกอ้างว่าควบคุมบุคคลโดยผิดกฎหมายตามมาตรา 90 มาสอบถาม เป็นต้น และบุคคลที่อาจถูกออกหมายเรียก ชั้นสอบสวน ได้แก่ พยาน, ผู้ต้องหาหรือบุคคลที่มีเอกสารหรือวัตถุในความครอบครองที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน(ณรงค์ ใจหาญ, หลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1, พิมพ์ครั้งที่ 9 (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2550), น.187 -188.)
ถ้าพนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปทำการสอบสวนด้วยตนเอง สามารถเรียกผู้ต้องหาหรือพยานได้โดยไม่ต้องมีหมายเรียก และบุคคลที่ขัดขืนหมายเรียก ย่อมมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ป. อาญา มาตรา 168, 169 หรือ 170 แล้วแต่กรณี ( ฎีกาที่ 1783/2493 วินิจฉัยว่า พยานที่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวนที่ให้มาเพื่อสอบปากคำมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 334 (2) ( คือ ป. อาญา มาตรา 168 ปัจจุบัน) (ฎน.1732)) แต่ในกรณีที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มาไม่ผิดอาญา แต่เป็นเหตุให้ออกหมายจับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 66 วรรคสอง (ฎีกาที่ 1341/2509 ( ประชุมใหญ่) วินิจฉัยว่า กรณีผู้ต้องหาขัดขืนไม่มาตามคำให้การตามหมายเรียกโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควรนั้น ป.วิ.อาญา มาตรา 66 (3) บัญญัติทางแก้ไขไว้โดยพนักงานสอบสวนมีหมายจับตัวมาได้เป็นบทลงโทษอยู่แล้ว จึงเห็นได้ว่า เจตนารมณ์ของ ป. อาญา มาตรา 168 หาได้มุ่งหมายจะใช้กับผู้ต้องหาที่ขัดขืนไม่มาให้การกับพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกอีกด้วยไม่ (ฏน.2923) (สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฉบับอ้างอิง ตัวบท คำอธิบายย่อและเอกสารอ้างอิงเรียงมาตรา. พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550) น. 120 – 121.)
ปัญหาที่เกิดขึ้นในคดีหมิ่นประมาทคือ ในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณานั้น ส่วนใหญ่แล้วที่เกิดเหตุจะมีหลายสถานที่เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบัน หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคมหรือมีการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญๆ ก็จะทำให้การแพร่ภาพหรือข้อความที่อาจจะถือว่าเป็นข้อความหมิ่นประมาทไปทั่วประเทศ โดยท่านอาจารย์ ดร.คณิต ณ นคร ได้ตั้งคำถามถึงความชอบธรรมว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือพนักงานสอบสวนอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้เสียหายได้ ในกรณีที่มีผู้เสียหายไปแจ้งความไปแจ้งความยังสถานที่ไกลๆ ในท้องที่อื่นนอกจากท้องที่ที่ไกลๆ ซึ่งถือว่าทำให้ผู้ต้องหาได้รับความลำบากและดูเหมือนเป็นการกลั่นแกล้งกัน (คณิต ณ นคร, “เมื่ออำนาจรัฐตกเป็นเครื่องมือของผู้เสียหายในคดีความผิดฐานหมิ่นประมาท (2)” มติชนสุดสัปดาห์, เล่ม 1455, ปีที่ 28 (ฉบับวันที่ 4 – 10 กรกฎาคม 2551), น.32.)
การกระทำดังกล่าวของผู้เสียหาย จึงมีลักษณะ “ความผิดกรรมเดียวพาเที่ยวได้ทั่วไทย” ยิ่งความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น ส่วนใหญ่ถ้าเจตนาของผู้กล่าวไม่ได้กล่าวอย่างร้ายแรงและสร้างความเสียหาย ส่วนใหญ่ศาลก็อาจจะใช้ดุลยพินิจลงโทษในสถานเบา เช่นการรอลงอาญาหรือการปรับเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจจะน้อยกว่าค่าเดินทางของผู้ต้องหาไปรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งยังไม่คำนึงถึงเรื่องว่าผู้ต้องหาอาจไม่มีความผิดเมื่อกล่าวเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามธรรมนองคลองธรรม, ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่, ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329) ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้มีระเบียบในลักษณะเดียวกันกับของอัยการ ซึ่งปรากฏตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 8 บทที่ 2 (1/33) เรื่องการสอบสวนคดีความผิดฐานหมิ่นประมาท ในกรณีความผิดกรรมเดียวกระทำลงในหลายท้องที่ และตามระเบียบกรมตำรวจว่าด้วยอำนาจการสอบสวนคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทในกรณีความผิดกรรมเดียวกระทำลงในหลายท้องที่ พ.ศ.2533 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533
(กองวิชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีฉบับสมบูรณ์ (กรุงเทพมหานคร: บริษัทวิศิษฎ์สรอรรถจำกัด (ฝ่ายการพิมพ์), 2545), น. 244-245.) ซึ่งวางหลักไว้ว่า
“ข้อ 227 (1) ด้วยกรมตำรวจได้พิจารณาเห็นว่า คดีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายมาตรา 326 , มาตรา 327 และมาตรา 328 อันเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผู้ต้องหาได้กระทำลงในหลายท้องที่ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในหลายท้องที่ ผู้เสียหายอาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในหลายท้องที่ซึ่งให้การสั่งคดีไม่เหมือนกัน อาทิเช่น บางท้องที่อาจมีความเห็นสั่งฟ้อง ทั้งๆ ที่เป็นความผิดกรรมเดียว เพื่อป้องกันมิให้มีการสอบสวนคดีดังกล่าวซ้ำซ้อน และการมีความเห็นทางคดีแตกต่างกันในคดีความผิดเดียวกันจึงให้ดำเนินการดังนี้
(1) เมื่อพนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์ในคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , มาตรา 327 และมาตรา 328 อันเป็นกรณีความผิดกรรมเดียวกระทำลงในหลายท้องที่แล้ว ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยมิชักช้า โดยให้พนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งสอบสวนผู้เสียหายว่าได้มีการร้องทุกข์ไว้กับพนักงานสอบสวนในท้องที่อื่นใดมาก่อนหรือไม่ หากปรากฏว่าผู้เสียหายได้เคยแจ้งความร้องทุกข์ไว้กับพนักงานสอบสวนไว้กับพนักงานสอบสวนท้องที่อื่นใดไว้ก่อนแล้ว ให้พนักงานสอบสวนผู้รับแจ้งสอบสวนปากคำผู้เสียหายแล้วจัดส่งบันทึกคำให้การผู้เสียหายไปยังพนักงานสอบสวนที่รับแจ้งความร้องทุกข์ไว้แต่แรกดำเนินการสอบสวนต่อไป... ”
ซึ่งในกรณีดังกล่าวปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ในกรณีของที่มีการแจ้งความในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และในกรณีที่แจ้งความผู้ต้องหาที่จังหวัดอยุธยานั้น แม้จะมีการแจ้งความครั้งเดียวซึ่งเป็นครั้งแรก แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นไม่เป็นธรรมกับผู้ต้องหา ซึ่งบางครั้งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และถึงแม้ไม่ใช่แต่หากผู้ต้องหาต้องเดินทางไกล ก็เปรียบเสมือนว่าผู้ต้องหานั้นได้รับโทษไปก่อนแล้วที่จะมีคำพิพากษาว่าผิดหรือไม่
2.ปัญหาการกระทำกรรมเดียวแต่ผู้ต้องหาได้กระทำลงในหลายท้องที่
ปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งอาจถือว่าเป็นช่องว่างของกฎหมาย การที่ผู้ต้องหาได้พูดหรือแสดงการหมิ่นประมาทผู้ต้องหา ตัวอย่างเช่น นาย ข. ได้พูดถ้อยคำหมิ่นประมาทนาย ค. ทางวิทยุกระจายเสียง หรือทางเอกสารอื่นๆ ซึ่งทำให้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยนาย ข.ได้พูดถ้อยคำดังกล่าวที่กรุงเทพมหานคร แต่บุคคลอื่นได้ยินเสียงถ้อยคำหมิ่นประมาทที่จังหวัดสุโขทัยและ นาย ค.ได้ยินเสียงหมิ่นประมาทดังกล่าวที่อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ดังนี้แล้วพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จังหวัดสุโขทัย ย่อมมีอำนาจสอบสวน เพราะเมื่อคำนึงถึงความเป็นธรรมของผู้เสียหายแล้ว การที่ผู้เสียหายต้องเดินทางไปถึงกรุงเทพมหานคร อันเป็นสถานที่เกิดเหตุนั้น ย่อมไม่เป็นธรรมกับฝ่ายผู้กล่าวหา
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อปฏิบัติตามข้อเท็จจริงดังกล่าว ทำให้ผู้กล่าวหา (บางราย) ฉวยโอกาสจากการอำนวยความสะดวกดังกล่าว เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งผู้ต้องหา โดยไปแจ้งความในพื้นที่ไกลๆ ซึ่งทำให้ผู้ต้องหาต้องเสียเวลาเดินทางเป็นอย่างมากและเกิดความเสียหายขึ้นมากเกินความจำเป็น นอกจากนี้แล้วยังตระเวนแจ้งความหลายท้องที่ ซึ่งตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 464/2532 ได้พิพากษาไว้ว่า
“แม้ข้อความที่พนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ฟ้องว่าจำเลยลงพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จะเป็นคนละบทความกันและลงพิมพ์ต่างหน้ากันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ แต่ก็เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมในหนังสือพิมพ์ ซึ่งจำเลยเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาฉบับเดียวกัน ทั้งเป็นข้อความที่กล่าวถึงโจทก์ร่วมในเรื่องเดียวกัน ทั้งเป็นข้อความที่กล่าวถึงโจทก์ร่วมในเรื่องเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว และพนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์กับโจทก์ต่างก็เป็นพนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลตาม ป. วิ อาญา มาตรา 2 (5) , 28(1) ด้วยกัน การที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยอีกจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ. แพ่ง มาตรา 173 (1) ประกอบด้วย ป. วิ. อาญา มาตรา 15 ”( สุวัณชัย ใจหาญ, พลตำรวจตรี, คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มิตรสยาม, 2534), น.529-530)
จึงเห็นได้ว่าการที่ผู้เสียหายมาร้องทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ เพราะว่าเจตนาดังกล่าวถือว่ามีเจตนาที่จะสร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้ผู้ต้องหาโดยยังไม่ปรากฏคำพิพากษาของศาลว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดหรือไม่ นั้นผู้เขียนมีข้อสังเกต 2 ประการกล่าวคือ. –
ประการแรก การกล่าวของผู้ต้องหานั้น มีความเกี่ยวข้องประการใดกับ “การโฆษณา” คือการหมิ่นประมาทด้วยเอกสาร, ภาพวาด, ภาพระบายสี ฯลฯ หรือการกระจายเสียงหรือป่าวประกาศด้วยวิธีอื่นใด (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328) ผู้ต้องหานั้นแม้จะกล่าวตามความเห็นของตนเอง แต่เมื่อผู้เสียหายเห็นว่าเป็นข้อความหมิ่นประมาท การหมิ่นประมาทโดยการโฆษณานั้น ผู้เขียนเห็นว่าผู้กล่าวต้องมีเจตนาที่จะให้ผู้อื่นรู้เห็นโดยผ่านการโฆษณาดังกล่าว แต่หากเป็นการที่ผู้สื่อข่าวหรือบุคคลอื่นนำไปโฆษณาหรือไปเผยแพร่เอาเองนั้น ผู้ต้องหาน่าจะถูกกล่าวหาเฉพาะหมิ่นประมาทธรรมดาเท่านั้น มิใช่หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ดังนั้นแล้ว หากเป็นการหมิ่นประมาทธรรมดา ผู้เสียหายหรือผู้แจ้งความร้องทุกข์จึงควรมาร้องทุกข์ในสถานที่ที่ผู้กล่าวหากล่าวว่ากล่าวในที่ใด มิใช่ไปร้องทุกข์ในสถานที่ทั้งที่ผู้ต้องหาไม่ได้กล่าวหรือผู้เสียหายได้ยินข้อความ
ประการที่สอง คือ ในกรณีที่ผู้ต้องหาได้พูดต่อหน้าสื่อมวลชน เช่น โทรทัศน์, หนังสือพิมพ์ , แพร่ข้อความทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้นนั้น อาจถือได้ว่าพนักงานสอบสวนทั้งประเทศก็ทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้หมด เนื่องจากน่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ทราบกันทั่วไป ถึงแม้พนักงานสอบสวนจะไม่ได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตนเอง แต่ก็น่าจะสามารถสืบค้นได้ไม่ยาก ดังนั้น ท้องที่ที่รู้การกระทำความผิดก่อนจึงอาจต้องตีความอย่างกว้างว่าเป็นหลายท้องที่ การที่พนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ไว้แต่แรกแล้ว จึงน่าจะมีอำนาจเสนอคำร้องทุกข์นั้นไปยังท้องที่ที่เห็นควรดำเนินการสอบสวน เช่นกรณีพนักงานสอบสวนในท้องที่ สภ.เมืองอยุธยา มีผู้ไปแจ้งความเรื่องหมิ่นประมาท แต่ข้อความดังกล่าวเป็นข่าวที่มีการโฆษณาทั่วประเทศและผู้เสียหายเคยเป็นข้าราชการการเมืองระดับสูง และผู้ถูกกล่าวหาเป็นถึงข้าราชการระดับสูง เช่นนี้ควรให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้พิจารณาว่าควรจะให้พนักงานสอบสวนท้องที่ใดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ
3. ปัญหาการออกหมายเรียกของพนักงานสอบสวน
ต่อคำถามของท่านอาจารย์ ดร.คณิต ณ นครว่า “ในคดีของท่านสุนัย นั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจดูอย่างแน่ใจแล้วหรือไม่ว่าเป็นการกล่าวข้อความโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (2) ซึ่งเป็นข้อยกเว้นไม่ทำให้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น” ตามบันทึกสั่งการของกองคดี กรมตำรวจที่ 0503/6968 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2517 ข้อ 3 วางหลักไว้ว่า “ในกรณีมีผู้มาร้องทุกข์หรือการกล่าวโทษในคดีอาญา ในโอกาสแรกที่พนักงานสอบสวนพึงกระทำ ในเมื่อผู้ต้องหายังไม่ได้มาปรากฏตัวต่อพนักงานสอบสวนตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 คือควรทำการสืบสวนเสียก่อน เมื่อฟังได้ว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นจึงดำเนินการสอบสวนต่อไป...แต่ถ้าตามทางการสอบสวนปรากฎว่าผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหามิได้กระทำความผิด หรือไม่ได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นตามข้อกล่าวหา ก็ไม่ต้องทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาหรือแจ้งข้อแจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกกล่าวหาทราบแต่อย่างใด แต่ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนโดยทำความเห็นควร “สั่งไม่ฟ้อง” ส่งพนักงานอัยการพิจารณาโดยมิชักช้าเช่นเดียวกัน” ในคดีดังกล่าวได้มีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนกระทั่งมีการขอออกหมายจับ แสดงว่าพนักงานสอบสวนน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาอาจจะกระทำความผิดจึงได้ขอศาลออกหมายจับ ตามความเห็นของผู้เขียนซึ่งมิได้มีโอกาสพิจารณาสำนวนการสอบสวนด้วยตนเอง พนักงานสอบสวนจึงไม่มีทางเลือกอื่นในเมื่อมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาไปแล้ว จึงต้องดำเนินการตามขั้นตอนออกหมายจับ ซึ่งพนักงานสอบสวนนั้นเปรียบเสมือน “หนังหน้าไฟ” ที่มีโอกาสใช้ดุลยพินิจแคบมากในการดำเนินการตามอย่างอื่น ซึ่งการใช้ดุลยพินิจต่างกันกับพนักงานอัยการและศาลที่เปิดโอกาสให้ใช้ดุลยพินิจกว้างขวางกว่ามาก
4.ความถูกต้องตามอำนาจ, ความชอบธรรมและความเหมาะสมในการออกหมายเรียก
ปัญหาที่เกิดขึ้น จึงเป็นปัญหาเรื่องพนักงานสอบสวนมีอำนาจที่จะกระทำการออกหมายเรียกดังกล่าวหรือไม่นั้น ผู้เขียนเห็นว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจที่จะออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหามาได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วผู้เขียนมักจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี
กรณีแรก หากมีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์ในคดีความผิดอันยอมความได้ ซึ่งทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาเป็นข้าราชการระดับสูง (หรือแม้กระทั่งเคยเป็น) พนักงานสอบสวนควรหารือขึ้นไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าสมควรให้ผู้ใดเป็นผู้ดำเนินการสอบสวน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าควรให้ท้องที่ที่รับแจ้งความเป็นผู้ดำเนินการสอบสวน ก็ควรมีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเสียก่อน ตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวข้างต้น โดย ในการนี้หากยังไม่มีพยานหลักฐานอื่น พนักงานสอบสวนอาจเรียกผู้ถูกกล่าวหาในฐานะ “ผู้ถูกกล่าวหา” ซึ่งเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกกล่าวหาเองนำพยานหลักฐานมามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย หากพิจารณาแล้วว่าพยานหลักฐานฝ่ายผู้ต้องหาจะมีประโยชน์ต่อรูปคดีในการทำความเห็นสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง คำว่า “ผู้ถูกกล่าวหา” นี้มักจะใช้นำมารวมกับคำว่า “ผู้ต้องหา” ซึ่งอาจารย์ณรงค์ ใจหาญ ได้ให้ความเห็นว่า “ผู้ถูกกล่าวหา” หมายถึง “ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดทางอาญา ฐานใดฐานหนึ่ง” (ณรงค์ ใจหาญ, หลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1, พิมพ์ครั้งที่ 9 (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2550), น.85.)
ดังนั้นการที่ออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหา จึงออกในฐานะที่เป็นผู้นำพยานหลักฐานที่ผู้ถูกกล่าวหามาแสดงให้พนักงานสอบสวนทราบ เพื่อพิจารณาดูว่าพยานหลักฐานฝ่ายใดน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ซึ่งอาจทำให้ความเห็นของพนักงานสอบสวนสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องโดยได้พยานหลักฐานจากทั้งสองฝ่าย ส่วนผู้ต้องหานั้นหมายความถึง “บุคคลผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดแต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล”(เพิ่งอ้าง) จึงน่าจะหมายความถึงบุคคลที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วมีพยานหลักฐานเพียงพอว่าผู้นั้นได้กระทำความผิด จึงตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา.
กรณีที่สอง หากพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วมีพยานหลักฐานชัดแจ้งว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดจริง จึงออกหมายเรียกผู้ต้องหาในฐานะผู้ต้องหา โดยคำนึงถึงพยานหลักฐานแล้วว่ามีหลักฐานเพียงพอว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดจริง
อย่างไรก็ตามโดยบทสรุปของงานเขียนเรื่องนี้ ผู้เขียนมิอยากให้พิจารณาในเรื่อง “ผู้ถูกกล่าวหา” หรือ “ผู้ต้องหา” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องความชอบธรรมและความเหมาะสมในการออกหมายเรียกผู้ต้องหา เนื่องจากในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นคดีความผิดอันยอมความได้หรือไม่ก็ตาม กฎหมายอาญานั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมเป็นหลัก (Edward Eldefonso and Alan R. Coffey, Criminal Law: History, Philosophy, Enforcement (New York: Harper&Row, 1981), p.13.)
ดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นสองประการจากเรื่องดังกล่าว กล่าวคือ.- ประการแรก เรื่องความชอบธรรมของการออกหมายเรียกของพนักงานสอบสวน ที่ต้องให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เดินทางมาให้ปากคำ ไม่ว่าจะในฐานะผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ต้องหาก็ตาม ทั้งที่อาจมีทางเลือกอื่นโดยให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในท้องที่ในเขตกรุงเทพมหานครหรือกองปราบปรามดำเนินการสอบสวน ซึ่งทำให้พนักงานสอบสวนสามารถเดินทางไปสอบสวนปากคำผู้ต้องหาได้ทันที และประการที่สองคือที่เกี่ยวข้องกับประการแรก คือพนักงานสอบสวนนั้นขาดอำนาจที่จะใช้ดุลยพินิจในการแยกแยะว่าคดีใดเป็น “ผลประโยชน์ส่วนรวมของสังคม” (Public Interest) หรือ “ผลประโยชน์ส่วนบุคคล” (Personal Interest) ทำให้เกิดปัญหาที่บ่อยครั้งจำยอมต้องตกเป็นเครื่องมือของผู้กล่าวหาหรือผู้ต้องหา ประกอบกับการบริหารงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองที่มีปัญหาอยู่มาก บ่อยครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับท้อแท้ เพราะไม่ได้ใช้ดุลยพินิจในการให้ความเป็นธรรมแก้ไขปัญหาสังคม มีหน้าที่เป็นเพียง “พนักงานพิมพ์ดีด” เพื่อโยนเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น ปัญหาดังกล่าวจึงเกิดขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ส่วนทางแก้ไขนั้นผู้เขียนเห็นว่า สำนวนหรือเรื่องใดที่ดำเนินคดีแล้วน่าจะเป็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่ากระทบถึงผลประโยชน์ส่วนรวม พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบอาจเสนอสำนวนต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูง เช่น ระดับผู้บังคับการหรือเหนือกว่า เพื่อร่วมหารือกับฝ่ายพนักงานอัยการหรือเสนอเรื่องต่อศาลเพื่อให้พิจารณาคดีว่าคดีดังกล่าวมีผลประโยชน์ในเรื่องส่วนตัวที่ไม่กระทบต่อส่วนรวม หรือความสงบสุขส่วนรวมที่ตำรวจต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ก็ให้ยุติการดำเนินคดีเพื่อให้ผู้เสียหายไปฟ้องร้องเอาเองได้ ทั้งนี้ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นสองประการกล่าวคือ. - 1) เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และ 2) เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้มีเวลาและนำทรัพยากรไปใช้เพื่อในการติดตามสืบสวนสอบสวนคดีที่สร้างความเสียหายต่อสังคมอย่างแท้จริง โดยปราศจากอิทธิพลทางการเมืองและผลประโยชน์ส่วนตัว.
เอกสารอ้างอิง
Eldefonso, Edward and Coffey Alan R., Criminal Law: History, Philosophy, Enforcement. New York: Harper&Row, 1981.
กองวิชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพมหานคร: บริษัทวิศิษฎ์สรอรรถจำกัด (ฝ่ายการพิมพ์), 2545.
เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, คำอธิบายหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัดจิรรัชการพิมพ์, 2551.
คณิต ณ นคร, “เมื่ออำนาจรัฐตกเป็นเครื่องมือของผู้เสียหายในคดีความผิดฐานหมิ่นประมาท (2)” มติชนสุดสัปดาห์, เล่ม 1455, ปีที่ 28 (ฉบับวันที่ 4 – 10 กรกฎาคม 2551)
ณรงค์ ใจหาญ, หลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2550.
สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฉบับอ้างอิง ตัวบท คำอธิบายย่อและเอกสารอ้างอิงเรียงมาตรา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, น. 120 – 121.
สุวัณชัย ใจหาญ, พลตำรวจตรี, คำอธิบายประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพและชื่อเสียง. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มิตรสยาม, 2534.
ณรงค์ ใจหาญ, หลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2550.